Rail Travel

4 ทริปสั้นๆหลบหนีออกจากกรุงโตเกียวโดยใช้ JR TOKYO Wide Pass

4 ทริปสั้นๆหลบหนีออกจากกรุงโตเกียวโดยใช้ JR TOKYO Wide Pass

โตเกียวเป็นประตูสู่ญี่ปุ่นที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด โดยสามารถบินเข้าประเทศผ่านสนามบินฮาเนดะและสนามบินนาริตะ แม้ว่าโตเกียวจะเป็นเมืองที่ทันสมัยและสะดวกสบายเต็มไปด้วยร้านอาหารและแหล่งช็อปปิ้งมากมาย แต่บางครั้งเราก็อยากหลีกหนีจากเมืองใหญ่และหลบไปท่องเที่ยวธรรมชาติหรือเมืองที่เล็กและเงียบสงบกว่าไม่ใช่หรือ

 

โชคดีที่โตเกียวสามารถเดินทางไปจังหวัดข้างเคียงได้โดยง่ายด้วยรถไฟ และตั๋วพาส JR TOKYO Wide Pass แบบ 3 วัน จะทำให้เราท่องเที่ยวหลบหนีจากโตเกียวได้อย่างง่ายดายอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน นอกจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแล้วผู้ที่ถือพาสปอร์ตอื่นนอกจากพาสปอร์ตญี่ปุ่นแล้วก็ยังสามารถใช้พาสนี้ได้ คนที่มาทำงานเรียนหรืออาศัยในญี่ปุ่นก็สามารถใช้พาสนี้ได้!

 

บทความนี้เราจะนำเสนอ 4 สถานที่ที่เหมาะสำหรับทริปค้างคืนออกจากกรุงโตเกียว ไม่ว่าคุณจะใช้เวลา 2วัน1คืน หรือ 3วัน2คืนก็แล้วแต่คุณ พร้อมรึยังถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย

 

1) คาบสมุทรอิซุ

วิวพระอาทิตย์ตกจากขบวนรถไฟสายอิซุคิวโค (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

หากท่านต้องการทริปไปชายทะเล เราขอแนะนำคาบสมุทรอิซุ (Izu Peninsula) เพียงแค่ 2 ชั่วโมง 45 นาทีโดยรถไฟจากโตเกียว คาบสมุทรอิซุตั้งอยู่ในจังหวัดชิซุโอกะเป็นเสมือนอัญมณีที่เต็มไปด้วยวิวอันสวยงามของแนวชายฝั่งทะเล ออนเซ็นติดทะเล อากาศสบายๆและอาหารทะเลอร่อยๆ

 

เมืองชิโมดะ (Shimoda City) ตั้งอยู่ใต้สุดของคาบสมุทรและเป็นจุดสิ้นสุดของทางรถไฟ ในปี 1854 เรือดำ (kurofune) ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลแม็ทธิว เพร์รี ได้มาจอดที่เมืองชิโมดะและเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางการฑูตครั้งสำคัญระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกา ที่เมืองชิโมดะท่านสามารถล่องเรือท่องเที่ยวรอบอ่าว เรือนั้นถูกตกแต่งให้เป็นเรือดำ

 

เรือดำ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh, 伊豆急行, kimagurenote / CC BY-NC-SA 2.0)

 

บริษัทรถไฟอิซุคิวโคมีรถไฟท่องเที่ยวพิเศษรีสอร์ต 21 ประกอบไปด้วยรถไฟแบล็คชิบ (Black Ship Train) ที่ดำสนิท และรถไฟคินเมะ (Kinme Train) ที่แดงสดใส โดยทั้งสองขบวนได้แรงบันดาลใจจากเรือดำของนายพลเพร์รีและปลาคินเมะได (เราจะแนะนำปลาอันแสนอร่อยนี้ในช่วงต่อไป) ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของคาบสมุทรอิซุ รถไฟนี้วิ่งระหว่างสถานีอะตามิและสถานีอิซุคิวชิโมดะ มีที่นั่งหันหน้าไปชมวิวทะเล ไม่มีค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับที่นั่งชมวิวนี้และท่านสามารถนั่งรถไฟนี้ได้ฟรีด้วยตั๋วพาส JR TOKYO Wide Pass ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถไฟรีสอร์ต 21 จากเว็บไซต์ของบริษัทรถไฟอิซุคิวโค

 

คินเมะไดเป็นปลาทะเลลึกที่สามารถหาทานได้ที่คาบสมุทรอิซุ (เครดิตภาพ: 下田市観光協会)

 

เวลาที่ท่านอยู่ที่คาบสมุทรอิซุต้องไม่พลาดที่จะลองปลาคินเมะได ปลาสีแดงตาโตสีทองอาศัยอยู่ในทะเลลึกหลายร้อยเมตร กล่าวกันว่ากว่า 80% ของปลาที่จับได้ในเมืองชิโมดะเป็นปลาคินเมะได และจับได้มากขนาดที่เมืองจะจัดเทศกาลชิโมดะคินเมะไดทุกปีในเดือนมิถุนายน

 

ปลาคินเมะไดมีเนื้อที่อ่อนนุ่มและไขมันดี มีรสชาติอ่อนไม่จัดที่เต็มไปด้วยรสอร่อยหรืออุมามิ (umami) และจะอร่อยมากเมื่อทานพร้อมหนังปลาสักหน่อย ที่คาบสมุทรอิซุท่านจะสามารถลิ้มลองอาหารนานาชนิดที่ทำจากปลาคินเมะได เช่น ซาชิมิ ปลานึ่งโชยุ หรือชาบูชาบู นอกจากนี้ที่ชิโมดะก็ยังมีอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่น คินเมะไดเบอร์เกอร์ คินเมะไดเท็มปุระ คินเมะไดราเมง คินเมะไดเสียบไม้ทอดและอีกมากมาย

 

ถนนเพร์รีที่เต็มไปด้วยตึกสวยๆและคาเฟ่ชิลๆ (เครดิตภาพ:下田市観光協会)

 

นอกจากนี้ชิโมดะยังมีถนนสวยๆ ถนนเพร์รีซึ่งเชื่อมระหว่างวัดริวเซนจิและสวนชิโมดะ ถนนนี้วางตามแนวคลองเต็มไปด้วยต้นหลิวและตึกที่เป็นคาเฟ่และตึกที่เป็นร้านเสื้อผ้า เป็นถนนที่เงียบสงบและมีเสน่ห์ เหมาะสำหรับเดินเล่นสบายๆหรือจะนั่งชิลๆที่คาเฟ่ก็ได้

 

ทุกปีเดือนมิถุนายน เทศกาลดอกไฮเดรนเยียที่สวนชิโมดะ (เครดิตภาพ:下田市観光協会)

 

ที่สุดทางถนนเพร์รีคือสวนชิโมดะ ซึ่งจะสวยเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลไฮเดรนเยียทุกปีเดือนมิถุนายน ดอกไฮเดรนเยียกว่า 3 ล้านดอก คุณทราบหรือไม่ว่าสีของดอกไฮเดรนเยียจะเปลี่ยนไปตามความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ดินที่เป็นกรดจะให้ดอกสีน้ำเงินขณะที่ดินที่เป็นด่างจะให้ดอกสีชมพู สวนนี้ตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆที่สามารถมองเห็นท่าเรือชิโมดะ

 

วิวสีทองของพระอาทิตย์ตกที่เกาะโดกะชิม่าบนชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิซุ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

คาบสมุทรอิซุเต็มไปด้วยสถานที่มากมายที่สามารถชมทัศนียภาพอันงดงาม คุณสามารถใช้เวลาหลายวันที่นี่เพื่อสำรวจหลากหลายที่ท่องเที่ยว ขณะที่ชายฝั่งตะวันออกสามารถเดินทางด้วยรถไฟ ชายฝั่งตะวันตกและส่วนกลางของคาบสมุทรสามารถเดินทางด้วยเครือข่ายรถบัสท้องถิ่น (รถบัสไม่ครอบคลุมด้วยตั๋ว JR TOKYO Wide Pass)

 

เขตนิชิอิซุ บนชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรเดินทาง 1 ชั่วโมงโดยบัสจากชิโมดะ โดยเฉพาะบริเวณเกาะโดกะชิม่านั้นขึ้นชื่อในเรื่องวิวสีทองของพระอาทิตย์ตก รีสอร์ทโรงแรมในบริเวณนั้นเสิร์ฟอาหารชุดไคเซกิที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นและมีออนเซ็นกลางแจ้งที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกขณะที่กำลังแช่ออนเซ็น

 

ดอกคาวาซุซากุระบานเต็มที่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

บางทีภาพที่นักท่องเที่ยวนึกถึงคาบสมุทรอิซุมากที่สุดคือภาพของเทศกาลดอกคาวาซุซากุระ ไม่เหมือนกับซากุระพันธุ์พื้นฐาน โซเมโยชิโนะ ที่บานเพียงสัปดาห์เดียว คาวาซุซากุระบานถึง 1 เดือนจากต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม ต้นคาวาซุซากุระเรียงรายตามแม่น้ำคาวาซุกว่า 4 กิโลเมตร มีสีชมพูเข้มและบานพร้อมกับดอกนาโนะฮานะสีเหลืองสดใส จุดชมคาวาซุซากุระนี้สามารถเดินระยะทางสั้นๆจากสถานีรถไฟคาวาซุ (Kawazu Station)

 

รถไฟ SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East)

 

หากท่านต้องการท่องเที่ยวไปในคาบสมุทรอิซุอย่างทันสมัย ต้องเช็ครีสอร์ตเทรน SAPHIR ODORIKO ซึ่งให้บริการเพียงที่นั่งแบบ Green Car หรือ Premium Green Car เท่านั้น ทำให้ถ้าจะขึ้นรถไฟขบวนนี้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม 5,150–7,470 เยนนอกเหนือจากตั๋วพาส JR TOKYO Wide Pass

 

การเดินทางสู่คาบสมุทรอิซุ

จากสถานีรถไฟโตเกียวนั่งรถไฟด่วนพิเศษ Odoriko ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 45 นาทีถึงสถานีอิซุคิว-ชิโมดะ ท่านสามารถขึ้นรถไฟด่วนหรือรถไฟธรรมดาฟรีด้วยตั๋ว JR TOKYO Wide Pass ซึ่งมีราคาเพียง 10,180 เยนถูกกว่าค่าตั๋วรถไฟไปกลับจากโตเกียวถึงอิซุคิว-ชิโมดะที่ราคา 12,120 เยน

 

2) โอคุนิกโก้

ทะเลสาบยุโนะโคะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: 日光市観光協会)

 

หากท่านปรารถนาไปที่ธรรมชาติรายล้อมละก็ แนะนำให้มุ่งหน้าสู่โอคุนิกโก้ซึ่งเดินทางง่ายจากกรุงโตเกียวใช้เวลาน้อยกว่า 2 ชั่วโมง นิกโก้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะมรดกโลกที่เต็มไปด้วยวัดและศาลเจ้า เช่น โทโชกุ (วัดที่มีหลุมศพของโทกุกาว่า อิเอยาสุ) และวัดรินโนจิ แต่ถ้าคุณไปไกลกว่านั้นลึกเข้าไปในอุทยานแห่งชาตินิกโก้ ท่านจะได้พบอีกด้านหนึ่งของนิกโก้ที่สวยงามและสงบตั้งอยู่ใจกลางธรรมชาติ

 

ทะเลสาบชูเซนจิและภูเขานันไท (เครดิตภาพ : photoAC)

 

นั่งบัสเพียง 45 นาทีจากสถานีรถไฟนิกโก้ (JR Nikko Station) ก็จะถึงทะเลสาบชูเซนจิ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยรีสอร์ทโรงแรมบนฝั่งตะวันออก เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,269 เมตร ทำให้มีอากาศเย็นสบายเหมาะกับหนีจากอากาศร้อนของเมืองใหญ่ จากทะเลสาบท่านสามารถเดินทางต่อไปยังน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิกโก้ คือ น้ำตกเคกง และน้ำตกริวซู

 

น้ำตกเคกง (เครดิตภาพ : photoAC)

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของนิกโก้คือ น้ำตกเคกง ซึ่งตั้งอยู่สูง 100 เมตรและเป็นทางน้ำไหลออกทะเลสาบชูเซนจิ น้ำตกเคกงจัดให้เป็น 1 ใน 3 น้ำตกที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นไปกับน้ำตกนาจิในจังหวัดวากะยาม่าและน้ำตกฟุคุโรดะในจังหวัดอิบาราคิ

 

ใกล้กับน้ำตกจะมีจุดชมวิว 2 จุด หนึ่งจุดจะฟรีแต่อีกหนึ่งจุดจ่าย 570 เยน จุดฟรีสามารถเดินเท้าเข้าไปชมได้ จุดเสียเงินจะต้องนั่งลิฟท์ลงไปยังฐานของน้ำตก

 

วิวน้ำตกเคกงและทะเลสาบชูเซนจิ จากจุดชมวิวอะเคจิไดระ (เครดิตภาพ : photoAC)

 

เพื่อวิวที่น่าประทับใจยิ่งขึ้นของวิวทะเลสาบเคกงคู่กับทะเลสาบชูเซนจิ ท่านสามารถไปชมได้ที่จุดชมวิวอะเคจิไดระซึ่งนั่งโรปเวย์เพียง 3 นาทีจากที่ราบสูงอะเคจิไดระ

 

ข้อควรระวัง บัสหยุดที่อะเคจิไดระเพียงขาเดียว ดังนั้นคุณควรแวะที่นี่ก่อนไปทะเลสาบชูเซนจิจากสถานีรถไฟนิกโก้ ขณะที่บัสจากทะเลสาบชูเซนจิไปสถานีรถไฟนิกโก้ไม่จอดที่อะเคจิไดระ

 

น้ำตกริวซูในฤดูใบไม้ร่วง  (เครดิตภาพ: 日光市観光協会)

 

นั่งรถบัสลึกเข้าไปอีกจากทะเลสาบชูเซนจิประมาณ 15 นาทีจะถึงอีกหนึ่งน้ำตกชื่อดังของนิกโก้ น้ำตกริวซูแปลว่าน้ำตกหัวมังกร ซึ่งจะสวยมากจนคุณหยุดลืมหายใจในฤดูใบไม้ร่วงในช่วงเวลาที่ต้นไม้ใบไม้รอบตัวคุณเปลี่ยนสีเป็นสีแดงหรือเหลืองสวยหลากเฉด

 

ทะเลสาบยุโนะโคะและน้ำตกยุดาคิ (เครดิตภาพ: 日光市観光協会)

 

นั่งบัสลึกต่อเข้าไปอีกจากน้ำตกริวซูจะพบกับวิวสวยงามของทะเลสาบยุโนะโคะซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองออนเซ็นเงียบๆที่ชื่อว่า ยุโมะโตะออนเซ็น บริเวณทางตอนใต้ของทะเลสาบมีน้ำตกยุดาคิซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินชมธรรมชาติเซนโจะกะฮาระที่เป็นเส้นทางที่ถูกดูแลอย่างดี เดินง่าย เป็นเส้นทางลงเขาไม่ชัน ระยะทาง 6 กิโลเมตรประมาณ 1 ชั่วโมงเชื่อมต่อน้ำตกยุดาคิผ่านที่ราบชุ่มน้ำเซนโจะกะฮาระไปสิ้นสุดที่น้ำตกริวซู หากท่านมาในช่วงเดือนมิถุนายนคุณจะสามารถชื่นชมไปกับบรรยากาศสีเขียวของต้นไม้ที่เพียงแตกยอดใบอ่อนและดอกไม้แบบที่ราบสูงอัลไพน์ หากท่านมาในช่วงเดือนตุลาคมคุณจะชื่นชมกับใบไม้เปลี่ยนสี

 

รถไฟอิโรฮะที่วิ่งระหว่างอุซึโนะมิยะกับนิกโก้ (เครดิตภาพ:JR East)

 

ท่านสามารถเดินทางมายังนิกโก้อย่างมีสไตล์ด้วยรถไฟอิโรฮะ รถไฟที่ตกแต่งพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งวิ่งระหว่างเจอาร์อุซึโนะมิยะกับเจอาร์นิกโก้ ตั้งชื่อตามเส้นทางรถยนต์อิโรฮะซากะที่ขึ้นชื่อของนิกโก้สำหรับวิวฤดูใบไม้ร่วง พื้นและผนังของรถไฟตกแต่งด้วยลายไม้ที่ดูอบอุ่นและที่นั่งที่ตกแต่งด้วยโทนอบอุ่นของลายดอกนิกโก้เดย์ลิลลี่ รถไฟนี้ยังมีที่วางกระเป๋าใบใหญ่ ฟรีไวไฟและข้อมูลท่องเที่ยวเป็นภาษาอังกฤษด้วย

 

การตกแต่งภายนอกของสถานีรถไฟเจอาร์นิกโก้ (เครดิตภาพ:JR East)

 

การเดินทางสู่นิกโก้

จากสถานีรถไฟโตเกียวนั่งชินคันเซ็น 50 นาทีไปสถานีรถไฟเจอาร์อุซึโนะมิยะและเปลี่ยนเป็นรถไฟสายนิกโก้นั่งต่ออีก 45 นาทีถึงสถานีรถไฟเจอาร์นิกโก้ ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass มีราคาเพียง 10,180 เยนถูกกว่าค่าตั๋วรถไฟไปกลับจากโตเกียวถึงนิกโก้ที่ราคา 11,360 เยน

 

สำหรับการเดินทางภายในโอคุนิกโก้แนะนำให้ซื้อพาสรถบัส 2 วันนั่งได้ไม่จำกัด สามารถซื้อได้ที่ที่ขายตั๋วของสถานีรถไฟเจอาร์นิกโก้ ค่าพาสรถบัสนั้นถูกกว่าตั๋วรถบัสไปกลับเสียอีก พาสรถบัส 2 วันชูเซนจิออนเซ็นราคา 2,200 เยนไม่ครอบคลุมถึงน้ำตกริวซูและยุโมะโตะออนเซ็น พาสรถบัส 2 วันยุโมะโตะออนเซ็นราคา 3,300 เยนจะครอบคลุมทั้งทะเลสาบชูเซนจิ น้ำตกริวซูและยุโมะโตะออนเซ็น

 

3) คุซาสึออนเซ็น

สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการระหว่างมาโตเกียวก็คือสถานที่ที่จะเพลิดเพลินไปกับออนเซ็น ข่าวดีมากๆก็คือในเขตคันโตอุดมไปด้วยออนเซ็นรีสอร์ทและหลายๆออนเซ็นสามารถไปถึงด้วยตั๋ว JR TOKYO Wide Pass หนึ่งในออนเซ็นเหล่านั้นก็คือ คุซาสึออนเซ็น ซึ่งเป็นหนึ่งในออนเซ็นที่ข้าพเจ้าชอบเป็นส่วนตัวเพราะน้ำออนเซ็นเต็มไปด้วยแร่ซัลเฟอร์

 

ถนนหลักของคุซาสึออนเซ็นและออนเซ็นแช่เท้าฟรี (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

เมื่อมาถึงคุซาสึออนเซ็นท่านจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นกำมะถันตลบอบอวลไปทั่วเมืองออนเซ็น คุซาสึออนเซ็นเป็นออนเซ็นที่มีน้ำแร่ไหลออกมามากที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยน้ำออนเซ็นที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูงจึงมีคำกล่าวที่ว่าสามารถรักษาได้ทุกโรคยกเว้นโรคเกี่ยวกับความรัก

 

การแช่น้ำแร่ในคุซาสึออนเซ็นจะทำคุณผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่งและทำให้ผิวคุณนุ่มลื่นดุจไหม แต่ต้องระวังไม่แช่นานเกินไปเพราะน้ำแร่อุณหภูมิสูงจะทำให้คุณหมดสติได้

 

ยุบะทะเกะเป็นแหล่งน้ำแร่หลักของคุซาสึออนเซ็น (เครดิตภาพ: ググっとぐんま写真館)

 

ยุบะทะเกะตั้งอยู่กลางเมืองเป็นแหล่งน้ำแร่หลักของคุซาสึออนเซ็น น้ำแร่ไหลออกมากว่า 4,000 ลิตรต่อนาทีจากภูเขาไฟชิราเนะที่ยังคุกรุ่นอยู่และร้อนกว่า 70 องศา เนื่องจากน้ำแร่ที่ออกมาร้อนเกินกว่าจะนำไปใช้ได้ จึงต้องทำให้เย็นผ่านท่อน้ำที่ทำด้วยไม้ไหลไปยังเรียวกังและโรงแรมต่างๆ

 

นักท่องเที่ยวลองทำ ยุโมมิ ด้วยตัวเอง  (เครดิตภาพ: ググっとぐんま写真館)

 

ยุโมมิคืออีกวิธีหนึ่งในการหล่อเย็นน้ำแร่ ซึ่งเป็นวิธีการเก่าแก่กว่า 100 ปี โดยทำการตีน้ำด้วยไม้พาย วิธีการตีน้ำนี้จะทำให้อุณหภูมิลดลงเหมาะสมกับการแช่ออนเซ็นโดยไม่ต้องเติมน้ำเย็นเพื่อเจือจางน้ำแร่ ซึ่งน้ำเย็นจะไปเจือจางแร่ธาตุและลดคุณภาพการรักษาโรคของน้ำแร่ ที่นี่มีการแสดงยุโมมิโชว์ให้นักท่องเที่ยวชมด้วย หากคุณไปได้ถูกเวลาคุณอาจจะได้ร่วมกิจกรรมตีน้ำแร่เองด้วย

 

ออนเซ็นกลางแจ้งไซโนะคาวาระในฤดูกาลต่างๆ (เครดิตภาพ: ググっとぐんま写真館)

 

ประสบการณ์ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะสามารถสัมผัสได้ด้วยการแช่น้ำแร่ออนเซ็นกลางแจ้งไซโนะคาวาระ เดินเพียง 12 นาทีจากยุบะทะเกะ บ่อกลางแจ้งขนาดใหญ่มหึมานี้เป็นแหล่งน้ำแร่ที่ให้ปริมาณน้ำเป็นอันดับสองของคุซาสึออนเซ็น แยกเป็นบ่อชายหญิงและสามารถรองรับได้มากกว่า 100 คน ล้อมรอบไปด้วยป่าเขาซึ่งเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล ท่านจะสามารถสนุกและผ่อนคลายไปกับออนเซ็นและชมวิวธรรมชาติ

 

ทุกเย็นวันศุกร์ออนเซ็นกลางแจ้งไซโนะคาวาระจะให้บริการบ่อรวมชายหญิงที่ซึ่งสามารถสวมชุดว่ายน้ำหรือจะโพกผ้าเช็ดตัวแช่ออนเซ็นร่วมกันกับครอบครัวหรือคู่รักก็ได้ โดยปรกติแล้วไม่อนุญาติให้สวมเสื้อผ้าใดๆเลยเวลาแช่ออนเซ็น หากคุณรู้สึกไม่สบายใจที่จะเปลือยกายในออนเซ็นวันศุกร์คือวันที่ควรไป

 

บริเวณภายนอกของสถานีรถบัสคุซาสึออนเซ็น (เครดิตภาพ: Volksoper / CC BY-SA 3.0)

 

การเดินทางไปคุซาสึออนเซ็น

จากสถานีรถไฟเจอาร์อุเอโนะนั่งรถไฟด่วนพิเศษคุซาสึ และลงที่สถานีรถไฟเจอาร์นากะโนะฮาระคุซาสึกุจิ (2 ชั่วโมง 20 นาที) แล้วต่อด้วยรถบัสเจอาร์คันโตมุ่งหน้าสู่คุซาสึออนเซ็น (710 เยน 25 นาที) ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass มีราคาเพียง 10,180 เยนถูกกว่าค่าตั๋วรถไฟไปกลับจากโตเกียวถึงนากะโนะฮาระคุซาสึกุจิที่ราคา 11,540 เยน

 

4) คารุอิซาวะ

ท่านสนใจอยากจะไปเที่ยวที่ราบสูงใช่ไหม เพียง 60 นาทีโดยชินคันเซ็นจากกรุงโตเกียวนั่นก็คือ คารุอิซาวะ เมืองรีสอร์ทที่ราบสูงตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรทำให้คารุอิซาวะมีอากาศเย็นสบายแม้กระทั่งในฤดูร้อนและเป็นที่ชื่นชอบมากในทริปหลีกหนีจากโตเกียว

 

สนุกไปกับการเดินเล่นบนถนนคิวคารุอิซาวะกินซ่า (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ตึกบนถนนคิวคารุอิซาวะกินซ่ามีสไตล์ตะวันตก เต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านเบเกอร์รี่ หากคุณเดินเล่นบนถนนนี้อย่าพลาดชิมและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ และคุณอาจจะได้เจอร้านที่มีเมอร์ไลออนด้วย

 

สำหรับนักช็อปก็ชอบคารุอิซาวะด้วย เพราะมีคารุอิซาวะปรินซ์ช็อปปิ้งพลาซ่า ช็อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ด้วยร้านค้ามากกว่า 200 ร้านและตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟเจอาร์คารุอิซาวะ

 

คุโมะบะอิเคะเป็นจุดเงียบสงบเหมาะสำหรับชื่นชมธรรมชาติ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

บึงคุโมะบะอิเคะตั้งอยู่เพียงเดิน 30 นาทีหรือปั่นจักรยาน 10 นาทีจากสถานีรถไฟเจอาร์คารุอิซาวะ รู้จักกันดีในชื่อทะเลสาบหงส์แม้ว่าจะไม่มีหงส์ก็ตาม บึงคุโมะบะอิเคะสามารถชมวิวอันสวยงามของภาพสะท้อนท้องฟ้าและต้นไม้บนผิวน้ำ และจะยิ่งสวยขึ้นไปอีกในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบเมเปิลจะเปลี่ยนเป็นสีส้มและแดง

 

น้ำตกชิราอิโตะ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

สำหรับผู้รักธรรมชาติสามารถนั่งรถบัส 30 นาที 720 เยนไปยังหนึ่งในไฮไลต์ของคารุอิซาวะ นั่นก็คือ น้ำตกชิราอิโตะ ซึ่งหมายถึงเส้นด้ายสีขาว น้ำตกเป็นสายเล็กดั่งเส้นด้ายสีขาวนั่นเอง

 

ภูมิทัศน์หินอันน่าหลงไหลของสวนโอนิโอะชิดะชิ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

เดินทางออกไปอีกสักหน่อย ประมาณ 45 นาที 1,230 เยนโดยรถบัสจากคารุอิซาวะคือสวนโอนิโอะชิดะชิ ที่เต็มไปด้วยหินภูเขาไฟสีดำก่อเกิดภูมิทัศน์แปลกตา ซึ่งเกิดจากลาวาที่ไหลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟอะสะมะในปี 1783 และแน่นอนนี่จะเป็นประสบการณ์ที่คุณจะไม่เจอที่โตเกียว นอกจากโอกาสที่จะได้สัมผัสกับหินภูเขาไฟแล้วสวนนี้ก็ยังสามารถชมวิวภูเขาอะสะมะและเมืองใกล้เคียงได้อีกด้วย

 

ภายนอกของสถานีรถไฟเจอาร์คารุอิซาวะ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

การเดินทางไปคารุอิซาวะ

สถานีรถไฟเจอาร์คารุอิซาวะตั้งอยู่เพียง 65 นาทีโดยชินคันเซ็นโฮะคุริคุจากสถานีโตเกียว

 

คุณทราบหรือไม่ว่ามีรถบัสวิ่งตรงระหว่างคุซาสึออนเซ็นกับคารุอิซาวะ (ค่าโดยสารไม่ครอบคลุมด้วยตั๋ว JR TOKYO Wide Pass) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งและค่าโดยสาร 2,200 เยน มีบริษัทเดินรถสองบริษัทที่ให้บริการ บริษัทหนึ่งเดินรถผ่านน้ำตกชิราอิโตะและอีกบริษัทหนึ่งเดินรถผ่านสวนโอนิโอะชิดะชิ หากคุณต้องการท่องเที่ยวให้คุ้มเวลาคุณสามารถเยือนคุซาสึออนเซ็นไปพร้อมกับคารุอิซาวะในทริปเดียว

 

JR TOKYO Wide Pass

สถานที่ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวในบทความนี้เหมาะสำหรับทริปค้างคืนที่คุณสามารถสัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวอย่างไม่เร่งรีบ แต่อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสไตล์การท่องเที่ยวของคุณ คุณสามารถใช้โตเกียวเป็นฐานและท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับตลอด 3 วันของตั๋วใบนี้ได้

 

สำหรับโปรแกรมแนะนำอื่นๆของตั๋ว JR TOKYO Wide Pass นี้ ท่านสามารถดูจากบทความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิของเขตคันโต (สวนดอกไม้อะชิคากะ สวนฮิตาชิซีไซด์ และเทศกาลฟูจิชิบะซากุระ) หรือบทความเกี่ยวกับประสบการณ์สัมผัสฤดูหนาวที่กาล่ายูซาวะและเอจิโกะยูซาวะ หรือบทความแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทุกฤดูกาลของตั๋ว JR TOKYO Wide Pass

 

ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass และแผนภาพพื้นที่ใช้ตั๋ว (เครดิตภาพ: JR East)

 

ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass เป็นตั๋วพาสที่ราคาไม่แพง นั่งรถไฟได้ไม่จำกัดของรถไฟเจอาร์อีสต์ (รวมชินคันเซ็นที่เดินรถโดยเจอาร์อีสต์) และบางรถไฟที่ไม่ได้เดินรถโดยเจอาร์ในพื้นที่กำหนด 3 วันติดต่อกัน ด้วยราคาเพียง 10,180 เยนถูกกว่าค่าโดยสารไปกลับจากโตเกียวไปยัง 4 สถานที่ที่กล่าวมาแล้วในบทความ นอกจากนี้ยังครอบคลุมไปถึงเส้นทางรถไฟอื่นนอกจากเจอาร์ เช่น อิซุคิวโคสำหรับคาบสมุทรอิซุ ฟูจิคิวโคสำหรับทะเลสาบคาวากูจิโกะ คุณสามารถจองที่นั่งผ่านระบบออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จองได้ตั้งแต่ 1 เดือนก่อนเดินทางที่เว็บไซต์นี้

 

เครดิตรูปภาพส่วนหัวบทความ: JR East / Akio Kobori

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Share this article:
TSC-Banner